รูปเหมือน หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต วัดป่าสุทธาวาส (หน้าตัก9นิ้ว)งานไฟเบอร์หุ่นขี้ผึ้งเสมือนคนจริง ติดเกศาห่มจีวร
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ...ท่านสามารถทราบวาระจิตความนึกคิดของผู้อื่นได้ อย่างน่าอัศจรรย์แม้เรื่องแสดงฤทธิ์ต่างๆ ท่านก็สามารถทำได้ แต่ท่านก็ไม่ได้นำไปแสดงโอ้อวด ท่านมีไว้เพื่อเป็นเครื่องมือปราบลูกศิษย์หัวดื้อ และผู้ที่คิดไปลองดีท่านเท่านั้น สำหรับอิทธิปาฎิหาริย์นั้น สำหรับท่านจะไม่เน้นเท่ากับการแสดงอนุสาสนียปาฎิหาริย์
พระเกียรติคุณท่านนั้นมีมากมาย แต่เรื่องราวแห่งปาฏิหาริย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโตนั้น ผู้คนทั้งหลายยังไม่เคยได้รับทราบ และยังเป็นเรื่องที่ผู้คนสนใจและอยากรู้ยิ่งนัก มารับรู้เรื่องราวปาฏิหาริย์และร่วมเผยแผ่เกียรติคุณท่านหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ให้เป็นที่ประจักษ์ต่อชาวโลกสืบต่อไปพร้อมกันได้แล้วในเล่ม
พระอาจารย์มั่นมีนิสัยจิตผาดโผดมาตั้งแต่ดั้งเดิม นับตั้งแต่เริ่มออกปฏิบัติกรรมฐานใหม่ ๆ แล้ว จิตผาดโผนของท่านที่ว่านี้คือ เป็นจิตอยากรู้อยากเห็นช่างคิดช่างค้นคว้า มีความอาจหาญยอมตายถึงไหนถึงกัน ขอให้ได้แสวงหาเพื่อที่จะรู้ สิ่งที่อยากรู้ให้รู้แจ้งเห็นจริงจนถึงที่สุด จิตผาดโผนอยากรู้อยากเห็นของท่านเป็นนิสัยนี้เอง ทำให้ท่านเป็นพระอริยเจ้าฝ่าย “เจโตวิมุติ” มีฤทธิ์มาก ทรงอภิญญา 6 คือ สำเร็จอรหันต์โดยการปฏิบัติทางสมถะกรรมฐานจนได้ “ฌาน” แล้วใช้อำนาจฌานสมาบัติเป็นบาทฐานปฏิบัติวิปัสสนาจนบรรลุอรหันต์ผล
พระอรหันต์ฝ่ายเจโตวิมุตินี้มีฤทธิ์มากกว่าพระอรหันต์ฝ่าย “ปัญญาวิมุติ” ที่หลุดพ้นโลกบรรลุธรรมด้วยดวงปัญญาล้วน ๆ พระอรหันต์ฝ่ายปัญญาวิมุติ ท่านเห็นสังขารเป็นของแห้งแล้ง ประสงค์ “สุขวิปัสโก” คือ ความสุขจากความสงบอย่างเดียว ไม่สนใจอยากรู้อยากเห็นอิทธิฤทธิ์ใด ๆ ไม่ต้องการฤทธิ์ แต่ท่านก็สามารถแสดงฤทธิ์ได้บ้างเป็นบางอย่าง เป็นแต่ว่าแสดงได้ช้ากว่าพระอรหันต์ฝ่ายเจโตวิมุติ
ท่านพระอาจารย์มั่นเล่าว่า แม้ขณะจิตของท่านจะเข้าถึงจุดอันเป็นวาระสุดท้าย ด้วยการสำเร็จธรรมวิเศษสูงสุดในพระศาสนา จิตของท่านก็ยังแสดงลวดลายอิทธิฤทธิ์ให้ท่านระลึกอยู่ไม่รู้ลืม ถึงกับได้นำมาเล่าให้บันดาลูกศิษย์ฟัง พอเป็นขวัญประดับใจและประดับสติปัญญา ท่านว่าจิตเป็นสิ่งมหัศจรรย์ยิ่งนัก พอจิตของท่านพลิกคว่ำวัฏฏจักรออกไปจากใจโดยสิ้นเชิงแล้ว จิตยังแสดงฤทธิ์เป็นลักษณะฉวัดเฉวียดรอบตัววิวัฏฏจิตถึงสามรอบ
รอบที่หนึ่งสิ้นสุดลงแสดงบทบาลีขึ้นมาว่า “โลโป” บอกความหมายขึ้นมาพร้อมว่า ขณะใหญ่ของจิตที่ทำหน้าที่สิ้นสุดลงนั้น คือการลบสมมติทั้งสิ้นออกจากใจ
รอบที่สองสิ้นสุดลง แสดงคำบาลีขึ้นมาว่า “วิมุตติ” บอกความหมายว่า ขณะใหญ่ของจิตที่ทำหน้าที่สิ้นสุดลงนั้น คือความหลุดพ้นอย่างตายตัว และการเข้าถึงพระนิพพานอย่างแท้จริง
รอบที่สามสิ้นสุดลงแสดงคำบาลีขึ้นมาว่า “อนาลโย” บอกความหมายว่า ขณะใหญ่ของจิตที่ทำหน้าที่สิ้นสุดลงนั้นคือ การตัดอาลัยอาวรณ์โดยสิ้นเชิง เป็นเอกจิต เอกธรรม จิตแท้ ธรรมแท้มีอันเดียว ไม่มีสองเหมือนสมมติทั้งหลาย
นี่คือวิมุตติธรรมล้วน ๆ ไม่มีสมมติเข้าแอบแฝง จึงมีได้เพียงอันเดียว รู้ได้เพียงครั้งเดียว ไม่มีสองมีสามสืบต่อสนับสนุนกัน
พระพุทธเจ้าและพระสาวกอรหันต์ ล้วนแต่รู้เพียงครั้งเดียวก็เป็นเอกจิตเอกธรรอันสมบูรณ์ ไม่แสวงเพื่ออะไรอีก สมมติภายในคือขันธุ์ ก็เป็นขันธุ์ล้วน ๆ ไม่เป็นพิษเป็นภัยและทรงตัวอยู่ตามปกติเดิมไม่มีการเพิ่มขึ้นหรือลดลงตามความตรัสรู้ คือขันธุ์ที่เคยนึกคิดเป็นต้น ก็ทำหน้าที่ของตนไปตามคำสั่งของจิตผู้บงการ
จิตที่เป็นวิมุตติก็หลุดพ้นจากความคละเคล้าพัวพันในขันธ์ต่างอันต่างอยู่ ต่างอันต่างจริงต่างไม่หาเรื่องหลอกลวงต้มตุ๋นกันดังเคยที่เป็นมา ต่างฝ่ายต่างสงบอยู่ตามธรรมชาติของตน
ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ธุระประจำตนจนกว่าจะถึงกาลแยกย้ายจากส่วนผสม เมื่อกาลนั้นมาถึงจิตที่บริสุทธิ์ก็แสดง “ยถาทีโป จ นิพพุโต” เหมือนประทีบดวงไฟที่หมดเชื้อแล้วดับไปฉะนั้น
นี่คือธรรมแสดงในจิตท่านพระอาจารย์มั่น ขณะที่ท่านบรรลุธรรมวิเศษเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์ ที่ท่านนำมาเล่านี้ใช่เป็นการอวดอุตริมนุสธรรม เป็นการเปิดเผยแย้มพรายให้ฟังเฉพาะลูกศิษย์ที่เป็นพระอริยเจ้าด้วยกัน ท่านไม่ได้เล่าโดยทั่วไป เมื่อลูกศิษย์ของท่านที่เป็นพระอริยเจ้าได้รับฟังระดับบารมีตนแล้วก็บันทึกไว้เป็นเรื่องมหัศจรรย์